ระบบหายใจ มนุษย์ทุกคนต้องหายใจเพื่อมีชีวิตอยู่ การหายใจเข้า อากาศผ่านไปตามอวัยวะของระบบหายใจตามลำดับ ดังนี้
1. จมูก (Nose) จมูกส่วนนอกเป็นส่วนที่ยื่นออกมาจากตรงกึ่งกลางของใบหน้ารูปร่างของจมูกมีลักษณะเป็นรูปสามเหลี่ยมพีระมิด ฐานของรูปสามเหลี่ยมวางปะ ติดกับหน้าผากระหว่างตาสองข้าง สันจมูกหรือดั้งจมูก มีรูปร่างและขนาดต่างๆกัน ยื่นตั้งแต่ฐานออกมาข้างนอกและลงข้างล่างมาสุดที่ปลายจมูก อีกด้านหนึ่งของรูปสามเหลี่ยมห้อยติดกับริมฝีปากบนรู จมูกเปิดออกสู่ภายนกทางด้านนี้ รูจมูกทำหน้าที่เป็นทางผ่านของอากาศที่หายใจเข้าไปยังช่องจมูกและกรองฝุ่นละอองด้วย
2. หลอดคอ (Pharynx) เมื่ออากาศผ่านรูจมูกแล้วก็ผ่านเข้าสู่หลอดคอซึ่งเป็นหลอดตั้งตรงยาวประมาณยาวประมาณ 5" หลอดคอติดต่อทั้งช่องปากและช่องจมูก จึงแบ่งเป็นหลอดคอส่วนจมูก กับ หลอดคอ ส่วนปาก โดยมีเพดานอ่อนเป็นตัวแยกสองส่วนนี้ออกจากกัน โครงของหลอดคอประกอบด้วยกระดูกอ่อน 9 ชิ้นด้วยกัน ชิ้นที่ใหญ่ทีสุด คือกระดูกธัยรอยด์ ที่เราเรียกว่า "ลูกกระเดือก" ในผู้ชายเห็นได้ชัดกว่าผู้หญิง
3. หลอดเสียง (Larynx)
เป็นหลอดยาวประมาณ 4.5 cm ในผู้ชาย และ
3.5 cm ในผู้หญิง หลอดเสียงเจริญเติยโตขึ้นมาเรื่อยๆ ตามอายุ ในวัยเริ่มเป็นหนุ่มสาว
หลอดเสียงเจริญขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะในผู้ชาย เนื่องจากสายเสียง (Vocal
cord) ซึ่งอยู่ภายในหลอดเสียงนี้ยาวและหนาขึ้นอย่างรวดเร็วเกินไป จึงทำให้เสียง
แตกพร่า การเปลี่ยนแปลงนี้เกิดจากฮอร์โมนของเพศชาย
4. หลอดลม
(Trachea)
เป็นส่วนที่ต่ออกมาจากหลอดเสียง ยาวลงไปในทรวงอก ลักษณะรูปร่างของหลอดลมเป็นหลอดกลมๆ
ประกอบด้วยกระดูกอ่อนรูปวงแหวน หรือรูปตัว U ซึ่งมีอยู่
20 ชิ้น วางอยู่ทางด้านหลังของหลอดลม ช่องว่าง ระหว่างกระดูกอ่อนรูปตัว
U ที่วางเรียงต่อกันมีเนื้อเยื่อและกล้ามเนื้อเรียบมายึดติดกัน การที่หลอดลมมีกระดูกอ่อนจึงทำให้เปิดอยู่ตลอดเวลา
ไม่มีโอกาสที่จะแฟบเข้าหากันได้โดยแรงดันจากภายนอก จึงรับประกันได้ว่าอากาศเข้าได้ตลอดเวลา
หลอดลม ส่วนที่ตรงกับกระดูกสันหลังช่วงอกแตกแขนงออกเป็นหลอดลมแขนงใหญ่
(Bronchi) ข้างซ้ายและขวา เมื่อเข้าสู่ปอดก็แตกแขนงเป็นหลอดลมเล็กในปอดหรือที่เรียกว่า
หลอดลมฝอย (Bronchiole) และไปสุดที่ถุงลม (Aveolus) ซึ่งเป็นการที่อากาศอยู่ ใกล้กับเลือดในปอดมากที่สุด จึงเป็นบริเวณแลกเปลี่ยนก๊าซออกซิเจน
กับคาร์บอนไดออกไซด์
5. ปอด (Lung) ปอดมีอยู่สองข้าง
วางอยู่ในทรวงอก มีรูปร่างคล้ายกรวย มีปลายหรือยอดชี้ขึ้นไปข้างบนและไปสวมพอดีกับช่องเปิดแคบๆของทรวงอก
ซึ่งช่องเปิดแคบๆนี้ประกอบขึ้นด้วยซี่โครงบนของกระดูกสันอกและกระดูกสันหลัง ฐานของปอดแต่ละข้างจะใหญ่และวางแนบสนิทกับกระบังลม
ระหว่างปอด 2 ข้าง จะพบว่ามีหัวใจอยู่ ปอดข้างขวาจะโตกว่าปอดข้างซ้ายเล็กน้อย
และมีอยู่ 3 ก้อน ส่วนข้างซ้ายมี 2 ก้อน
หน้าที่ของปอดคือ การนำก๊าซ CO2 ออกจากเลือด และนำออกซิเจนเข้าสู่เลือด
ปอดจึงมีรูปร่างใหญ่ มีลักษณะยืดหยุ่นคล้ายฟองนํ้า
6. เยื่อหุ้มปอด
(Pleura)
เป็นเยื่อที่บางและละเอียดอ่อน เปียกชื้น และเป็นมันลื่น หุ้มผิวภายนอกของปอด
เยื่อหุ้มนี้ ไม่เพียงคลุมปอดเท่านั้น ยังไปบุผิวหนังด้านในของทรวงอกอีก หรือกล่าวได้อีกอย่างหนึ่งว่า
เยื่อหุ้มปอดซึ่งมี 2 ชั้น ระหว่าง 2 ชั้นนี้มี
ของเหลวอยู่นิดหน่อย เพื่อลดแรงเสียดสี ระหว่างเยื่อหุ้มมีโพรงว่าง เรียกว่าช่องระหว่างเยื่อหุ้มปอด
1. การสูดลมหายใจ เมื่อเราหายใจเข้า อากาศจากภายนอกร่างกายจะผ่านจมูกเข้าไปตามช่อง
จมูก อากาศจะถูกปรับอุณหภูมิและความชื้นให้เหมาะสมกับร่างกายจึงจะผ่านหลอดลมลงเข้าในปอด
มีการเปลี่ยนแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ออกจากปอดสู่บรรยากาศ การหายใจเกิดจากการทำงานของอวัยวะ 2 ชนิด คือ กะบังลม และเนื้อยึดซี่
โครง กระบวนการหายใจ สรุปได้ดั้งนี้
การหายใจเข้า การที่เราหายใจเข้า
กระดูกซี่โครงเลื่อนสูงขึ้น กะบังลมลดตํ่าลง ทำให้ปริมาตรช่องอก มีมากขึ้น ความดันอากาศจะลดลง
ทำให้ปริมาตรช่วงอกมีมากขึ้น ความดันอากาศลดลง
การหายใจออก อากาศภายนอกเข้าสู่ปอด
กระดูกซี่โครงเลื่อนตํ่าลง กะบังเลื่อนสูงขึ้น ทำให้ปริมาตร ในช่วงอกน้อยลง ความดันในอากาศภายในช่องอกสูงขึ้นอากาศภายในจึงออกจากปอดสู่บรรยากาศภาย
นอกร่างกาย
2. การแลกเปลี่ยนแก๊ส
ระหว่างปอด กับ เลือด ปอดมีถุงลมเล็กๆ เป็นจำนวนมากซึ่งมีหลอดเลือดฝอย โดยเข้าไปรวมตัวกับฮีโมโกลบินในเม็ดเลือดแดงจากนั้นจะไหลไปตามหลอดเลือดกลับเข้าสู่หัวใจ
เพื่อให้หัวใจกลับไปสูบฉีดไปยังส่วนต่างๆ ของร่างกาย
3. การแลกเปลี่ยนแก๊สระหว่างเลือดกับ
เซลล์ ขณะที่เลือดถูกลำเลียงไปตามหลอดเลือดนั้น ออกซิเจนในเลือดจะแพร่จากเซลล์เม็ดเลือดแดง
เข้าสู่เซลล์ต่างๆ ของร่างกาย ในขณะที่ออกซิเจน เข้าสู่เซลล์นั้น คาร์บอนไดออกไซด์
ก็จะแพร่จากเซลล์สู่หลอดเลือดและละลายในนํ้าเลือดจากนั้นเลือดที่มีคาร์บอนไดออกไซด์ก็จะไหลกลับเข้าสู่หัวใจโดยทางหลอดเลือด
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น